ความคุ้มครองประกันอัคคีภัยบ้านอยู่อาศัย

ความคุ้มครองประกันอัคคีภัยบ้านอยู่อาศัย

ปกติประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย จะคุ้มครอง 6 ภัยหลัก ได้แก่ ภัยไฟไหม้, ภัยฟ้าผ่า, ภัยระเบิด, ภัยจากยานพาหนะ, ภัยจากอากาศยานและภัยเนื่องจากน้ำ (ไม่รวมน้ำท่วม,น้ำซึมจากฐานรากหรือท่อประปาแตกนอกอาคาร) ถ้าจะให้คุ้มครองมากกว่านี้ก็สามารถซื้อประกันเพิ่มเติมได้ เช่น ภัยพิบัติ (น้ำท่วม,พายุ,แผ่นดินไหว) เป็นต้น

คุ้มครองทรัพย์สินภายในบ้าน

ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย โดยปกติหมายถึง สิ่งปลูกสร้าง แต่ไม่รวมฐานราก และหรือทรัพย์สินภายในสิ่งปลูกสร้าง ที่มีไว้เพื่อการอยู่อาศัยตามปกติ เช่น เฟอร์นิเจอร์บิวอินด์ หรืออาจะเป็นเครื่องใช้ภายในบ้านที่ไม่ระบุเป็นข้อยกเว้นไว้ แต่ถ้าทรัพย์สินได้รับความเสียหายจากสาเหตุอื่น ๆ เราก็ต้องย้อนกลับไปดูความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยอัคคีภัยอีกทีว่าคุ้มครองทรัพย์สินจากเหตุใดบ้างซึ่งรายละเอียดจะแตกต่างกันไปในแต่ละกรมธรรม์

เบื้ยประกันแพงไหม

เบี้ยประกันอัคคีภัยกำหนดโดยกรมการประกันภัย ซึ่งอัตราค่อนข้างถูก ส่วนใหญ่จะคิดอัตรา 0.101% ของทุนประกันภัย บวกค่าธรรมเนียมนิดหน่อยและขึ้นอยู่กับ สถานที่, ลักษณะการใช้สถานที่, ลักษณะสิ่งปลูกสร้าง เช่น ผนัง โครงสร้าง พื้น ลักษณะภัยที่เอาประกัน นอกจากนี้การติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันภัยต่างๆ ไว้ภายในบ้าน เช่น อุปกรณ์ดับเพลิง หรือเครื่องตรวจจับควัน เป็นตัวช่วยทำให้มีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัยถูกลง

ดังนั้น สมมติทุนประกัน 1 ล้าน ค่าเบี้ยก็ตกปีละเพียง 1,250 บาทเท่านั้น แต่แนะนำว่าควรทำประกันระยะยาว 3 ปีหรือ 5 ปี เพราะจะได้ส่วนลด ค่าเบี้ยจะถูกกว่า เช่น ทำปีเดียวเบี้ยประกัน 1,250 บาท/ปี

แต่ถ้าทำ 3 ปี จะจ่ายค่าเบี้ยประกันแค่ 3,100 บาท

และถ้าทำระยะยาว 5 ปี จะจ่ายค่าเบี้ยประกันแค่ 4,400 บาท เป็นต้น

เบี้ยประกันอัคคีภัย เหมาะกับใคร

เจ้าของบ้าน เจ้าของห้อง ยิ่งใครที่อยู่ในหมู่บ้าน ทาวเฮาส์ ตึกแถวหรืออยู่คอนโดยิ่งต้องทำเพราะถ้าเกิดไฟไหม้แล้วเราไม่ได้ทำประกันจะยุ่งยากมาก นอกจากทรัพย์สินของเราจะเสียหายหมดตัวแล้ว ถ้าไฟไหม้แล้วไฟลามไปบ้านคนอื่นอีก รับรองเลยว่าเดือนร้อนหนักเป็นหลายเท่า บ้านตัวเองก็วอด แถมยังต้องชดใช้บ้านคนอื่น จะเอาเงินมาจากไหน
ในส่วนของคอนโดฯ หลายๆ คนมีข้อสงสัยว่ามันจะซ้ำซ้อนกับประกันของคอนโดฯ หรือไม่ คำตอบคือไม่ เนื่องจากประกันอัคคีภัยคอนโดฯ ที่นิติฯ เป็นคนทำ(แต่เรียกเก็บจากเจ้าของห้อง)นั้น เป็นการทำประกันภัยเฉพาะทรัพย์สินที่เป็นของส่วนกลางเท่านั้น ฉะนั้นจึงไม่ถือว่าซ้ำซ้อน เพราะถ้าเราทำเราก็ทำเฉพาะห้องเราหรือทรัพย์สินส่วนตัวของเรา

ควรซื้อทุนประกันเท่าไหร่

การทำประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยควรทำให้ครอบคลุมมูลค่าบ้านและทรัพย์สินภายในบ้าน แต่ไม่ควรทำประกันเกินมูลค่าบ้านและทรัพย์สินภายในบ้าน เพราะหลักการจ่ายค่าสินไหมทดแทน จะจ่ายให้ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินมูลค่าของทรัพย์สินที่ได้ทำประกันไว้ สมมติว่า ซื้อบ้านพร้อมที่ดิน มูลค่า 2,000,000 บาท แบ่งเป็นที่ดิน 1,000,000 บาท และบ้าน 1,000,000 บาท ดังนั้น ทุนประกันอัคคีภัยที่ครอบคลุมมูลค่าบ้าน เท่ากับ 1,000,000 บาท แต่ความคุ้มครองนี้ยังไม่ครอบคลุมกับเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน หากเกิดความเสียหายเฉพาะเฟอร์นิเจอร์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ ซึ่งผู้เอาประกันสามารถแจ้งให้คุ้มครองเพิ่มในส่วนของเฟอร์นิเจอร์ได้ เช่น

• ทุนประกันบ้าน 1,000,000 บาท
• ทุนประกันเฟอร์นิเจอร์ 500,000 บาท
• รวม 1,500,000 บาท

ไม่ควรทำประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยต่ำกว่า 70% ของมูลค่าทรัพย์สิน เป็นข้อยกเว้นเฉพาะประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยเท่านั้น จากตัวอย่างข้างต้น หากผู้เอาประกันไม่ประสงค์ทำเต็มมูลค่าทรัพย์สิน แต่ควรทำทุนประกันไม่ต่ำกว่า 700,000 บาท หรือ 70% ตามหลักเกณฑ์การประกันอัคคีภัย เพราะหากเกิดอัคคีภัยเสียหายทั้งหมดประกันจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามทุนประกันที่ได้ทำไว้คือ 700,000 บาท แต่หากผู้เอาประกันทำประกันอัคคีภัยทุนประกันต่ำกว่า 70% ของมูลค่าทรัพย์สิน เช่น ต้องการทุนประกันเพียง 600,000 บาท คิดเป็น 60% ต่อมาเกิดอัคคีภัยเสียหายบางส่วน ประเมินความเสียหาย 300,000 บาท ดังนั้น ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเพียง 180,000 บาท (300,000 X 60%) ตามหลักเกณฑ์ถือว่าผู้เอาประกันภัยรับความเสี่ยงบางส่วนไว้เองซื้อความ

ดังนั้นก่อนทำประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย, ประกันบ้าน, ประกันคอนโด ควรศึกษาเงื่อนไขต่างๆ และรายละเอียดความคุ้มครองอย่างละเอียด อัคคีภัยอาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ที่ไหน กับใครก็ได้ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวคงไม่เกิดกับเรา เพราะถ้าเกิดขึ้นมาแล้วไม่มีประกันรองรับ ความเสียหายนั้นใหญ่หลวงนัก บ้านเดิม ทรัพย์สินเดิมไหม้ไปในกองเพลิง เงินจะสร้างบ้านใหม่ก็ไม่มี ดังนั้นทำประกันไว้เพื่อช่วยบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ถ้าพิจารณาดีๆ จะเห็นว่า เบี้ยประกันน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับมูลค่าบ้านและสิ่งของมีค่าต่างๆ ของเรา อย่าให้เข้าทำนองเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายเลย